โรคขาดสารอาหารที่เป็นปัญหาด้านสาธารณสุขในประเทศไทย มีอยู่ด้วยกัน 4 โรค คือ
1. โรคขาดสารอาหารโปรตีนและกำลังงาน
2. โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
3. โรคขาดสารไอโอดีน
4. โรคขาดวิตามิน
1.โรคขาดสารอาหารโปรตีนและกำลังงาน โรคนี้พบมากในเด็กทารกและเด็กวัยก่อนเรียน (อายุต่ำกว่า 5 ปี) ซึ่งเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวเร็ว มีความต้องการอาหารทั้งปริมาณและคณภาพยิ่งกว่าวัยอื่น ๆ เมื่อเด็กได้รับอาหารโปรตีนและกำลังงานไม่เพียงพอจึงเกิดโรคนี้ขึ้น ทำให้ภูมิต้านทานโรคต่ำ ติดเชื้อง่าย เช่น โรคท้องเสีย หวัด ปอดบวม เป็นต้น ถ้าเป็นโรคติดเชื้อรุนแรงอาจถึงตายได้ แต่ถ้าไม่ตายจะทำให้การเจริญเติบโตของร่างกายและสมองไม่ดีเท่าที่ควร
สาเหตุ
ทางตรง เกิดจากการที่ทารกและเด็กได้รับอาหารที่ให้โปรตีนและกำลังงานไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ ซึ่งอาจเนื่องมาจาก
1. การไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ใช้นมผสมไม่ถูกส่วนหรือเลี้ยงทารกด้วยนมข้นหวาน
2. เมื่อถึงวัยอันควร เด็กไม่ได้รับอาหารตามวัยที่ถูกต้อง เช่น ไข่ ปลา เนื้อสัตว์
3. การเตรียมอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจจะทำให้เด็กท้องเสียและเกิดโรคติดเชื้ออื่น ๆ
ทางอ้อม เกิดปัญหาความยากจน ไม่มีจะกิน
ผลกระทบของโรคขาดโปรตีนและกำลังงาน
1. ผลต่อเด็ก
1.1 ถ้าเป็นรุนแรงเด็กอาจตายได้ ทำให้อัตราตายขอทารก และเด็กวัยก่อนเรียนสูง
1.2 ผลต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายมีน้ำหนักน้อย และตัวเล็กกว่าปกติ ภูมิต้านทานโรคที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายและเมื่อเป็นแล้วมักจะรุนแรง เช่น โรคท้งร้วง หัด อัตราตายจะสูงกว่าเด็กปกติ
1.3 ผลต่อสมอง สติปัญญา และการเรียนรู้ ถ้าเป็นโรคนี้ เมื่ออายุยังน้อย จะมีจำนวนเซลล์ในสมองน้อยกว่าปกติ และขนาดของสมองก็เล็กกว่าปกติ จึงทำให้การพัฒนาทางสมอง สติปัญญา และการเรียนรู้ด้อยไปด้วย2. ผลต่อครอบครัว ทำให้สิ้นเปลืองในการดูแลรักษาลูกที่เจ็บป่วยบ่อย ๆ และเสียเวลาในการทำมาหากิน
3. ผลต่อประเทศชาติ ทำให้ได้พลเมืองที่ไม่มีคุณภาพทั้งด้านสติปัญญา การเรียนรู้ และด้านร่างกาย เป็นผลทำให้ประเทศชาติไม่พัฒนา
การป้องกันการขาดโปรตีน เนื่องจากปัญหาโรคขาดโปรตีนและกำลังงาน มีความสำคัญมากต่อสุภาพและคุณภาพชีวิตคน จึงควรร่วมมือร่วมใจป้องกันทุกฝ่าย ทั้งในชุมชนและในทุกหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
1. ค้นหาปัญหาและการเฝ้าระวังติดตามทางโภชนาการ โดยการชั่งน้ำหนักเด็กแรกเกิด 5 ปี ทุก ๆ 3 เดือน
2. ให้อาหารเสริมที่มีคุณค่าทางโปรตีน และกำลังงานแก่เด็กอย่างเพียงพอ
3. เพิ่มผลผลิตอาหาร
4. ให้โภชนศึกษา และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เรื่องอาหารและโภชนาการแก่บิดามารดาของเด็ก
ที่มา
http://www.dekdern.com/
2. โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โรคนี้พบมากในกลุ่มหญิงมีครรภ์ เด็กก่อนวัยเรียน และเด็กวัยเรียน โดยมีเครื่องชี้วัดที่ใช้ในการกำหนดภาวะโลหิตจางของประชากรกลุ่มอายุต่าง ๆ ใช้ค่าเฮโมโกบิล หรือค่าเฮมาโตคริต ตามข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก โดยกลุ่มประชากรดังกล่าวหากมีค่าต่ำกว่าที่กำหนด หมายถึง อยู่ในภาวะโลหิตจาง
สาเหตุของการขาดสารอาหารที่ทำให้เกิดโรคโลหิตจางส่วนใหญ่ เนื่องมาจาการขาดธาตุ ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่าง คือ
1. ได้รับอาหารที่มีธาตุเหล็ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ เด็กก่อนวัยเรียนและเด็กวัยเรียน
2. เป็นโรคพยาธิปากขอ
3. สูญเสียเลือดเรื้อรัง เช่น เสียเลือดจากระบบทางเดินอาหาร จากการรับประทานยาแก้หวัดเป็นประจำ
อาการของโรคโลหิตจาง
1.เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย แม้ทำงานเล็กน้อยก็หายใจหอบ
2. รู้สึกหัวใจเต้น ปวดศีรษะ หงุดหงิด มึนงง เป็นลมวิงเวียน หน้ามืดเสมอ
3. เล็บเปราะบาง และซีด
4. ลิ้นเลี่ยนเรียบ ไม่มีตุ่ม และอักเสษ
5. ผิวพรรณซีดและตาซีด
ผลเสียของโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
1. การขาดธาตุเหล็ก เป็นโรคที่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และประสิทธิภายการทำงานของร่างกายในทุกกลุ่มประชากร
2. ในหญิงตั้งครรภ์ อาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกคลอดต่ำและมีอัตราตายของทารกขณะคลอดและหลังคลอดสูง
3. ในทารก และเด็กก่อนวัยเรียน จะทำให้เจริญเติบโต และการพัฒนาของร่างกายและสมองช้า และมีผลต่อการพัฒนาสติปัญญาของเด็กวัยเรียนด้วย
4. ทำให้ระบบการป้องกันโรคของร่างกายต่ำ
การป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
1. ให้ประชาชนบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก ๆ เช่น ตับ เนื้อสัตว์ ไข่แดง และผักใบเขียว
2. ป้องกันไม่ให้เป็นโรคพยาธิ โดยการปรับปรุงการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม
3. การเสริมธาตุเหล็ก ในรูปของยาเม็ดหรือน้ำไซรับ ในกลุ่มประชาชนเป้าหมาย คือหญิงมีครรภ์ เด็กก่อนวัยเรียนและเด็กวัยเรียน
ที่มา healthnet.md.chula.ac.th
3. โรคขาดสารไอโอดีน เป็นปัญหาโภชนาการที่สำคัญปัญหาหนึ่งที่พบมากทีในแถบถิ่นทุรกันดาร แถบภูเขาในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและบางจังหวัดในภาคกลาง รวมทั้งภาคใต้ของประเทศสาเหตุ 1. ปัจจัยทางธรรมชาติ อันได้แก่ ดินและน้ำในพื้นที่มีปัญหา ซึ่งพบว่าทั้งดินและน้ำในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและบางจังหวัดในภาคกลาง มีปริมาณไอโอดีนในดินและในน้ำต่ำกว่าในกรุงเทพฯ ประมาณ 4-7 เท่า และยังพบว่าพืช ผัก ชนิดเดียวกับในบริเวณที่มีอัตราคอพอกสูงมีปริมาณไอโอดีนต่ำ 2. การกระจายอาหารที่มีไอโอดีนสูงไม่ทั่งถึง เนื่องจากการคมนาคมลำบาก ไม่มีอาหารทะเลสำหรับบริโภคสม่ำเสมอประกอบกับอาหารทะเลราคาแพง ไม่มีอำนาจซื้อเพราะเศรษฐกิจไม่ดี 3. ประชาชนขาดความรู้ ความเข้าใจต่อโรคนี้ ตลอดไปจนถึงความรู้ถึงสาเหตุและวิถีทางป้องกันโรคที่จะนำไปปฏิบัติได้ง่าย
ผลกระทบจากการขาดสารไอโอดีนต่อร่างกาย
เมื่อร่างกายขาดสารไอโอดีน มีผลทำให้ร่างกายขาดไทรอยด์ฮอร์โมน ทำให้เกิดพยาธิสภาพที่สำคัญและประการ เรียกว่าภาวะผิดปกติจากการขาดสารไอโอดีน (Iodine Deficiencies Disorders หรือ IDD) จะมีอาการดังนี้
1. คอพอก หมายถึง ต่อมไทรอยด์ที่คอโตกว่าปกติ ถ้าโตมาก ๆ จะกดหลอดลม ทำให้ไอ สำลัก หายใจลำบาก ถ้ากดหลอดลมอาหารจะกลืนลำบาก
2. ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีไทรอยด์ฮอร์โมนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ร่างกายจะมีอัตราการเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ ลดลง การนำสารอาหารไปใช้ในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ตลอดจนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ จะเป็นไปได้ไม่เต็มที่ ทำให้การเจริญเติบโตทางร่างกายหยุดชะงัก เติบโตช้าลงได้ ในผู้ใหญ่ มีอาการเกียจคร้าน อ่อนเพลีย เชื่องช้า ง่วงซึม ผิวหนังแห้ง ทนความหนาวเย็นไม่ค่อยได้ ท้องผูก เสียงแหบปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ในวัยเด็ก นอกจากอาการที่แสดงดังกล่าวแล้ว ยังพบอาการเชื่องช้า ทางจิตใจและเชาว์ปัญญาอีกด้วย ในวัยแรกเกิด มีความสำคัญและรุนแรงมากจะมีอาการทางสมองทำให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน ไม่สามารถแก้ไขได้ เรียกว่าภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำในเด็กแรกเกิด
3. ครีตินนิซึม หรือเอ๋อ แม่ที่ขาดไอโอดีนขณะตั้งครรภ์ลูกที่คลอดออกมาจะมีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำตั้งแต่แรกเกิด ถ้าแม่มีการขาดไอโอดีนรุนแรง อาจทำให้ทารกตายตัวตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือแท้ง หรือพิการตั้งแต่กำเนิด และถ้าทารกได้รับไอโอดีนน้อยกว่า 20ไมโครกรัม/วัน จะพบครีตินมิซึม เฉพาะในทารกจะแสดงอการผิดปกติทางร่างกายติดต่อไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ ลักษณะที่ 1 ผู้ป่วยมีสติปัญญาต่ำรุนแรง หูหนวก เป็นใบ้ มีความผิดปกติทางระบบประสาทเด่นชัด คือ การกระตุกตาเหล่ ท่าเดินผิดปกติ และกล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน ลักษณะที่ 2 ผู้ป่วยมีสติปัญญาต่ำมาก การเจริญเติบโตทางร่างกายช้ามากจะเตี้ยแคระแกร็น ผิวหนังหนา ปวดกดไม่บุ๋มแต่หูไม่หนวก ไม่เป็นใบ้โดยทั่วไปต่อมไทรอยด์ไม่โต
การป้องกันการขาดสารไดโอดีน
1. เฝ้าระวังโรคขาดสารไอโอดีน เพื่อประเมินสถานการณ์ทางโรคโดย ก. ตรวจคอพอกในเด็กนักเรียนประจำปี ข. การตรวจหาระดับไทรอยด์สติบูเลติ้งฮอร์โมน (TSH) ในเลือดจากสายรกของทารกแรกเกิด ค. การตรวจหาระดับไอโอดีนในปัสสาวะของเด็กวัยเรียนในจุดที่มีระบาดสูง ทำปีละครั้ง
2. ให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องโรคขาดสารไอโอดีนอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในเรื่องการใช้เกลือเสริมไอโอดีน และน้ำปลาเสริมไอโอดีน ในการปรุงอาหารอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน
3. การเสริมไอโอดีน
ก. การดื่มน้ำเสริมไอโอดีน ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 4 แก้ว โดยหยดสารละลายไอโอดีนเข้มข้นที่บรรจุในขวดเดี่ยวมีหลอดหยด หยดลงในน้ำดื่มอัตราส่วน 2 หยดต่อน้ำ 10 ลิตร
ข. การใช้เกลือเสริมไอโอดีนปรุงอาหาร ควรใช้เกลือเสริมไอโอดีนประกอบอาหารอย่างน้อยวันละ 1 ช้อนชา หรือ 5 กรัมต่อคนต่อวัน เพื่อป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน
ค. การใช้น้ำปลาเสริมไอโอดีน สามารถใช้สารละลายไอโอดีนเข้มข้นที่บรรจุในขวดเดี่ยว หยดลงในน้ำปลา 6 หยด/ขวด
ที่มา
http://www.wedding.co.th/
4. โรคขาดวิตามินเอ เป็นโรคที่พบในเด็กวัยทารก และเด็กวัยก่อนเรียน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่เป็นโรคขาดโปรตีนและกำลังงาน
สาเหตุ
1. เกิดจากการกินอาหารที่ขาดวิตามินเอ ซึ่งมีมากในผลไม้ ผักสีเขียว เหลือง ตับสัตว์ ไข่ นม นอกจากนี้อาจขาดอาหารอื่น ๆ ด้วย เช่น ไขมัน ซึ่งเป็นตัวช่วยในการดูดซึมและเก็บสะสมวิตามินเอในร่างกาย 2. การไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ใช้นมข้นหวานเลี้ยงทารกและไม่ได้รับอาหารตามวัยที่มีวิตามินเอผลของการขาดวิตามินเอ การขาดวิตามินเอ ก่อให้เกิดอาการ ดังนี้ 1. ทำให้การเจริญเติบโตของเด็กหยุดชะงัก อำนาจต้านทานโรคต่ำ 2. อาการทางตา จะมีอาการเสื่อมของการเห็นในที่มืด มีอาการตาฟางมองไม่ชัดเจนในเวลากลางคืนและในที่มืด ที่ตาขาวมีเกล็ดกระดี่เป็นกลุ่มฟองสบู่ ตาดำจะขุ่นขาวเป็นแผล และในที่สุดตาบอดสนิทอย่างถาวร 3. อาการที่เกี่ยวกับผิวหนัง ผิวหนังจะแห้งเป็นเกล็ด หรือเกิดเป็นตุ่มสาก ๆ บนผิวหนังเรียก Follicular hyperkeratosisโดยเฉพาะบริเวณข้อศอก หัวเข่า เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของตุ่มขุมขน ถ้าเป็นมาก ๆ ผิวหนังจะขรุขระ คล้ายหนังคางคก
การป้องกันการขาดวิตามินเอ
1. กินอาหารพวกผลไม้ ผักสีเขียวให้มาก พวกไข่ ตับ นม ร่วมกับการบริโภคอาหารที่มีไขมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกวัยก่อนเรียน หญิงมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร
2. ให้โภชนศึกษาแก่ประชาชน โดยการส่งเสริมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่